ยายจอม เกษตรกรแห่งบุพราหมณ์ ผู้ปลูกเอง กินเอง ขายเอง

บนพื้นที่ 5 ไร่ ที่คุณยายจอมเช่าไร่ละ 500 บาทต่อปี คุณยายได้พลิกฟื้นผืนดินแห่งนี้ให้เต็มไปด้วยพืชผัก และสมุนไพรนานาชนิด ทั้งต้นหอม ผักชี ผักชีใบเลื่อย คื่นช่าย พริก มะเขือ กระเพรา โหระพา สะระแหน่ ยี่หร่า กล้วย มะพร้าว กวาวเครือ เร่วหอม ขมิ้น ว่านชักมดลูกและอื่นๆอีกมากมาย เป็นการปลูกแบบผสมผสาน ที่ไม่ใช้สารเคมีใดๆมาตั้งแต่แรกเริ่ม จวบจนถึงปัจจุบัน ก็รวมเวลาได้ร่วม 5 ปีกว่าแล้ว 
ยายจอมบอกว่าที่นี่ปลูกแบบไม่ใช้สารเคมีมาตั้งแต่แรกเริ่ม ก่อนที่เขาจะมีกลุ่มเกษตรอินทรีย์อีก โดยคุณยายใช้วิธีปรุงดินด้วยขี้หมู กับขี้วัว เป็นหลัก บำรุงดินต่อเนื่องมายาวนาน จนดินร่วนซุย พืชผักงอกงาม โดยไม่ต้องพึ่งเคมีใดๆ

            บนพื้นที่ 5 ไร่ ที่คุณยายจอมเช่าไร่ละ 500 บาทต่อปี คุณยายได้พลิกฟื้นผืนดินแห่งนี้ให้เต็มไปด้วยพืชผัก และสมุนไพรนานาชนิด ทั้งต้นหอม ผักชี ผักชีใบเลื่อย คื่นช่าย พริก มะเขือ กระเพรา โหระพา สะระแหน่ ยี่หร่า กล้วย มะพร้าว กวาวเครือ เร่วหอม ขมิ้น ว่านชักมดลูกและอื่นๆอีกมากมาย เป็นการปลูกแบบผสมผสาน ที่ไม่ใช้สารเคมีใดๆมาตั้งแต่แรกเริ่ม จวบจนถึงปัจจุบัน ก็รวมเวลาได้ร่วม 5 ปีกว่าแล้ว 
            ยายจอมบอกว่าที่นี่ปลูกแบบไม่ใช้สารเคมีมาตั้งแต่แรกเริ่ม ก่อนที่เขาจะมีกลุ่มเกษตรอินทรีย์อีก โดยคุณยายใช้วิธีปรุงดินด้วยขี้หมู กับขี้วัว เป็นหลัก บำรุงดินต่อเนื่องมายาวนาน จนดินร่วนซุย พืชผักงอกงาม โดยไม่ต้องพึ่งเคมีใดๆ

            ถามยายจอมว่า แต่ละวันยายทำอะไรบ้าง ยายจอมตอบว่า ก็ตื่นแต่เช้ามืด กินข้าว ทำภารกิจต่างๆ แล้วก็เข้าสวน บางวันมาตั้งแต่ตี 5 หรือ 6 โมงเช้า ก็ถางหญ้า ดูแลแปลง เพาะกล้า ย้ายกล้า เก็บผัก รดน้ำ เดิมก็รดเองเป็นส่วนใหญ่ ตอนนี้เริ่มต่อระบบน้ำเข้ามา มีสปริงเกอร์ช่วย ก็ทำให้ได้ไปงานอย่างอื่นได้มากขึ้น ระหว่างที่นั่งสนทนากับพวกเรา คุณยายก็ไปต่อสปริงเกอร์ เปิดน้ำรดผักทิ้งไว้ ไม่ให้เสียเวลาไปเปล่าๆด้วย  พอตกเย็น ราวบ่าย 2 คุณยายก็จะเตรียมตัว นำพืชผักที่เก็บไปในสวน ไปนั่งขายที่ตลาดนัดบ้านทุ่งโพธิ์ ทุกวันจอมเล่าพร้อมรอยยิ้ม สัมผัสได้ถึงความภูมิใจ และสุขใจอยู่ลึกๆ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในช่วยผลิตอาหารดีๆส่งตรงถึงมือผู้บริโภค

            เมื่อถามถึงความรู้ในการปลูกผัก ยายจอมบอกว่าตัวเองทำเกษตรมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่แล้ว เดิมทำนาอย่างเดียว แต่ทำนาได้แค่ปีละหน เลยมาปลูกผัก ได้กินได้ขายตลอด ก็เรียนรู้มา นอกจากนี้ยายก็เคยไปรับจ้างปลูกผักสลัดที่วังน้ำเขียวอยู่ประมาณ 1 ปี ได้ประสบการณ์การทำแปลงผักตรงนั้นมาช่วยด้วย หรือบางทีกลุ่มก็มีให้ไปอบรมตามที่ต่างๆ คุณยายก็บอกว่า เราก็ไปเรียนรู้มา แล้วก็เอากลับมาคิดใส่สมอง แล้วก็ทดลอง ปรับใช้ให้เหมาะกับแปลงของตัวเอง อย่างที่เพิ่งไปดูมา เวลาถอนผักออก ก็จะลงข้าวโพดต่อ ให้รากข้าวโพดช่วยยึดแปลงไว้ พอเพาะกล้าได้ที ก็ถอนข้าวโพดออก แล้วย้ายต้นกล้ามาลงปลูก รากข้าวโพดก็ได้ช่วยพรวนดินไปแล้วในตัว เป็นวิธีที่น่าสนใจและตั้งใจจะเอามาลองทำ
            ส่วนที่ผ่านมา คุณยายบอกว่า การปลูกผักแบบยกแปลง ทำอย่างต่อเนื่อง ปลูกผักให้หลากหลายอย่างที่ทำอยู่ ก็ได้ผลดี ถึงฝนจะตกเยอะ ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะรากพืชช่วยยึดดินไว้ และน้ำก็ระบายได้ดี ทำให้รากไม่เน่าด้วย  เคล็ดลับของคุณยายคือ ถ้าฝนตกเยอะ ดินยังเปียกอยู่ คุณยายจะไม่มายุ่งกับแปลงนัก จะปล่อยให้ดินแห้งก่อน จึงจะมาพรวน หรือมาทำงานกับดินที่แปลง
           ส่วนในยามแล้ง คุณยายก็มีบ่อน้ำสำรอง และมีระบบน้ำเตรียมไว้รับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง แต่ที่สำคัญคือ พืชผักที่คุณยายเลือกปลูกนั้น เท่าที่สังเกต มีความหลากหลาย และเป็นพืชผักสวนครัว พืชผักพื้นบ้าน และสมุนไพร เป็นส่วนใหญ่  จึงไม่ค่อยประสบกับปัญหามากนัก แถมยังเป็นพืชผักที่สามารถเก็บไปขายได้เรื่อยๆ เป็นระยะเวลานาน ทำให้แรงงานที่มีเพียงคุณยาย กับคุณตา ไม่ต้องเหนื่อยเรื่องการจัดการแปลงมากจนเกินกำลัง นับเป็นการออกแบบวิถีการผลิตที่น่าสนใจไม่น้อยเลยจริงๆ
            เห็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยอย่างมีชีวิตชีวา พร้อมกับเห็นเปลที่ผูกไว้ตามใต้ต้นไม้ สำหรับพักผ่อน ก็สัมผัสได้ถึงความงามของชีวิตที่เรียบง่ายของเกษตรกรสูงวัย ผู้ที่พูดได้อย่างเต็มปากว่า ทำเกษตรแล้วดี ทำแล้วสุขภาพดี ชีวิตดี มีความสุข เป็นความสุขที่ได้จากการลงมือทำ อย่างที่ยายจอมพูดออกมาบ่อยๆว่า “ทำเกษตร ต้องทำทุกวัน ไม่ขยัน ก็ไม่ได้กิน”